จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2568

การเลือกใช้เสาเข็มเจาะ

     เสาเข็มเจาะเป็นเสาเข็มอีกประเภทหนึ่งซึ่งแตกต่างจากเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงในลักษณะของการใช้ งาน กรรมวิธีในการทำเสาเข็มเจาะค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน และจะต้องทำ ณ สถานที่ที่จะใช้งานจริงเลย โดยใช้เครื่องมือเจาะขุดดินลงไปให้ได้ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางและความลึกของเสาเข็มตามที่กำหนดจาก นั้นจึงจะใส่เหล็กเสริมและเทคอนกรีตลงไปเพื่อหล่อเป็นเสาเข็ม เสาเข็มเจาะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆตามขนาดของเสาเข็มและกรรมวิธีที่ใช้ อันได้แก่

1. เสาเข็มเจาะขนาดเล็ก ( small diameter bored pile ) เป็นเสาเข็มเจาะที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ในช่วง 35-60 เซนติเมตร ( ส่วนใหญ่จะเป็น ขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง 35, 40, 50, 60 เซนติเมตร ) มีความลึกอยู่ในช่วงประมาณ 18-23 เมตร กรรมวิธีที่ใช้ในการเจาะมักจะเป็นแบบแห้ง ( dry process ) ซึ่งเป็นการขุดเจาะโดยใช้เครื่องมือขุดเจาะ ลงไปตามธรรมดา

2. เสาเข็มเจาะขนาดใหญ ( large diameter bored pile ) เป็นเสาเข็มเจาะที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 60 เซนติเมตรขึ้นไป ( ส่วนใหญ่จะมี ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 80, 100, 120, 150 เซนติเมตร ) มีความลึกอยู่ในช่วงประมาณ 25-65 เมตร กรรมวิธีที่ในการเจาะมักจะเป็นระบบเปียก ( wet process ) ซึ่งแตกต่างจากระบบแห้ง คือจะต้องเพิ่ม ขั้นตอนในการฉีดสารเคมีเหลวซึ่งเรียกว่า Bentonite slurry ลงไปในหลุมที่ทำการขุดเจาะ โดยเฉพาะ หลุมที่มีความลึกมากๆถึงชั้นทรายหรือหลุมที่มีน้ำใต้ดิน ทั้งนี้ เพื่อสร้างแรงดันในหลุมที่เจาะและยึดประ สานผิวดินในหลุมเพื่อป้องกันมิให้ผนังหลุมที่เจาะพังทลายลงมา

    การใช้เสาเข็มเจาะจะไม่ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอันอาจเป็นอันตรายต่ออาคารข้างเคียง เพราะไม่มี การตอกกระแทกของปั้นจั่นดังเช่นที่ใช้กับเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง อีกทั้งขนาดของเสาเข็มเจาะก็อาจทำให้มีขนาดใหญ่โดยมีขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 200 เซนติเมตร เพราะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อจำกัดของขนาดของปั้นจั่นและน้ำหนักของตัวเสาเข็ม ขณะที่เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงนั้นขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ใช้กันทั่ว ไปมีขนาดความกว้างของพื้นที่หน้าตัดเพียง 40 เซนติเมตรเท่านั้น อีกทั้งความลึกของเสาเข็มเจาะก็สามมารถเจาะได้ลึกกว่าความยาวของเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง ฉะนั้นเสาเข็มเจาะจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับอาคารสูงซึ่ง ต้องรับน้ำหนักมากและอาคารที่สร้างใกล้ชิดเพื่อป้องกันมิให้เกิดการสั่นสะเทือนซึ่งจะเป็นอันตรายต่ออาคาร ข้างเคียง ในทางปฏิบัติแล้วขั้นตอนในการทำเสาเข็มเจาะจะมีรายละเอียดที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่าที่กล่าวไว้มาก ที่กล่าวมาข้างต้นก็เพียงต้องการให้มองเห็นภาพและขั้นตอนของการทำเสาเข็มเจาะเพียงคร่าว ๆ เท่านั้น การปลูกบ้านพักอาศัยโดยทั่วไปมักจะใช้เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงเพราะมีขั้นตอนที่ง่ายกว่าและราคาถูกกว่า เสาเข็มเจาะ

วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2568

เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง(เสาเข็มสปัน)

เสาเข็มสปัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง เป็นเสาเข็มที่ผลิตโดยใช้ เทคโนโลยีการปั่นคอนกรีต ภายในแบบหล่อที่หมุนด้วยความเร็วสูง กระบวนการนี้ช่วยให้เนื้อคอนกรีตมีความหนาแน่นสูงกว่าคอนกรีตที่หล่อแบบทั่วไป ส่งผลให้เสาเข็มสปันมีความแข็งแกร่งทนทาน รับน้ำหนักได้ดี เหมาะสำหรับงานฐานรากของอาคารที่ต้องการความมั่นคงสูง

ลักษณะของเสาเข็มสปัน:

  • ลักษณะเป็นเสากลม ตรงกลางกลวง
  • มีโครงเหล็กอัดแรงฝังอยู่ภายในเนื้อคอนกรีตโดยรอบ
  • ผิวคอนกรีตเรียบเนียน แข็งแรง
  • มีให้เลือกหลายขนาด โดยทั่วไปมีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 20 - 100 เซนติเมตร
  • ความหนาของเนื้อคอนกรีตอยู่ที่ 6 - 14 เซนติเมตร
  • ความยาวมาตรฐานอยู่ที่ 6 - 18 เมตร ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต
  • สามารถต่อเสาให้ยาวขึ้นได้โดยการเชื่อมต่อกัน

ข้อดีของเสาเข็มสปัน:

  • แข็งแรงทนทาน รับน้ำหนักได้ดี
  • ตอกได้ลึก เหมาะกับงานฐานรากที่ต้องการความมั่นคงสูง
  • ผิวคอนกรีตเรียบเนียน ลดแรงเสียดทาน
  • ตอกได้หลายวิธี ทั้งแบบตอกด้วยปั้นจั่นทั่วไป และแบบเจาะกด
  • รูกลวงตรงกลางเสาช่วยลดการสั่นสะเทือนและแรงดันของดิน
  • เหมาะสำหรับงานฐานรากอาคารสูง อาคารที่ต้องการความมั่นคงแข็งแรง
  • ป้องกันปัญหาเรื่องลมแรง แผ่นดินไหว

ข้อเสียของเสาเข็มสปัน:

  • มีราคาค่อนข้างสูงกว่าเสาเข็มประเภทอื่น
  • ต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการตอก
  • ต้องอาศัยช่างผู้ชำนาญการ

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2568

เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงสำหรับทุกโครงสร้าง

    การเลือกใช้เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญในการสร้างอาคารพาณิชย์และบ้านพักอาศัย เสาเข็มเหล่านี้ทำจากปูนซีเมนต์คุณภาพสูงที่มีการแข็งตัวเร็ว โดยมีโครงเหล็กภายในทำจากลวดเหล็กอัดแรงความสูง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานให้กับโครงสร้าง กรรมวิธีการตอกเสาเข็มเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ปั้นจั่นในการกระแทกเสาเข็มลงสู่ดิน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
การเลือกชนิดของเสาเข็มคอนกรีตอัดแรงที่เหมาะสมสำหรับโครงสร้างของคุณมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากแต่ละชนิดมีความแข็งแรงและความสามารถในการรับน้ำหนักที่แตกต่างกัน ชนิดที่พบบ่อยได้แก่:
1. เสาเข็มรูปตัวไอ: เป็นชนิดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการรับน้ำหนักของตัวบ้าน มีการออกแบบมาเพื่อรับน้ำหนักที่มาก โดยขนาดและความยาวของเสาเข็มจะถูกกำหนดโดยวิศวกรผู้ออกแบบ 2. เสาเข็มสี่เหลี่ยมตัน: เหมาะสำหรับโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงและความเสถียร 3. เสาเข็มหกเหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยมชนิดกลวง: มักใช้สำหรับงานโครงสร้างที่เล็กกว่าหรือการรับน้ำหนักน้อยกว่า เช่น งานฐานรากของรั้ว 4. เสาเข็มรูปตัวที: อีกหนึ่งตัวเลือกที่เหมาะกับงานโครงสร้างขนาดเล็กหรือเมื่อมีความต้องการในการรับน้ำหนักที่ไม่มาก
เคล็ดลับและเทคนิคพิเศษในการเลือกใช้เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง
การประเมินคุณภาพของดิน: ก่อนเริ่มงานก่อสร้าง ควรมีการสำรวจและประเมินคุณภาพของดินในพื้นที่ก่อสร้าง เพื่อเลือกชนิดของเสาเข็มที่เหมาะสมที่สุด การพิจารณาความยาวของเสาเข็ม: ความยาวของเสาเข็มควรเลือกให้เหมาะสมกับน้ำหนักที่ต้องการรับและสภาพของดิน เพื่อป้องกันการทรุดตัวของโครงสร้าง การใช้เทคโนโลยีในการตอกเสาเข็ม: การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการตอกเสาเข็มสามารถช่วยลดเวลาในการก่อสร้างและเพิ่มความแม่นยำ การเตรียมพื้นที่ก่อสร้าง: ก่อนการตอกเสาเข็ม ควรมีการเตรียมพื้นที่ให้พร้อม เช่น การกำจัดอุปสรรคและการดำเนินการเบื้องต้นเพื่อให้การตอกเสาเข็มเป็นไปอย่างราบรื่น
การเลือกใช้เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงอย่างถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความมั่นคงและความทนทานให้กับโครงสร้างของคุณเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการก่อสร้างได้อีกด้วย การเข้าใจถึงลักษณะและการใช้งานของเสาเข็มแต่ละชนิดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการใช้เสาเข็มอัดแรงรองรับโครงสร้างของคุณ

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2568

บันทึกรายงานการตอกเสาเข็ม

การบันทึกการตอกเสาเข็มโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังนี้

1.กรณีทั่วไป (ตอกเสาเข็มโดยไม่ต้องใช้เสาส่ง)

ขั้นตอนการดำเนินการ:

  1. เตรียมเสาเข็ม:
    • ขีดเครื่องหมายบนโคนเสาเข็มทุกระยะ 30 เซนติเมตร เริ่มจาก 3 เมตรสุดท้าย
  2. ยกเสาเข็มตั้ง:
    • บันทึกระยะที่เสาเข็มจมลงไปในดินด้วยน้ำหนักของตัวเอง
  3. วางตุ้มน้ำหนัก:
    • บันทึกระยะที่เสาเข็มจมลงไปในดินเมื่อวางตุ้มน้ำหนักบนหัวเสาเข็ม
  4. ตอกเสาเข็ม:
    • เมื่อเสาเข็มเหลือ 3 เมตรสุดท้าย เริ่มบันทึกรายละเอียดดังนี้
      • จำนวนครั้งที่ตอก
      • ระยะจมตัวของเสาเข็ม (วัดจากเครื่องหมายที่ขีดไว้)
      • ควบคุมระยะยกตุ้มน้ำหนักตามที่วิศวกรกำหนด

หมายเหตุ:

  • บันทึกข้อมูลทั้งหมดลงในตารางที่เตรียมไว้

2.กรณีพิเศษ (ตอกเสาเข็มโดยใช้เสาส่ง)

ขั้นตอนการดำเนินการ:

  1. เตรียมเสาเข็ม:
    • ขีดเครื่องหมายบนโคนเสาเข็มทุกระยะ 30 เซนติเมตร เริ่มจาก 1.5 เมตรสุดท้าย (หรือตามระยะที่ต้องใช้เสาส่ง)
  2. เตรียมตะเกียบปั้นจั่น:
    • ขีดเครื่องหมายบนตะเกียบปั้นจั่นทุกระยะ 30 เซนติเมตร เท่ากับระยะที่จะต้องส่งเสาเข็มลงในดิน
  3. ตอกเสาเข็ม:
    • บันทึกรายละเอียดการตอกเสาเข็มลงในตารางดังนี้
      • จำนวนครั้งที่ตอก
      • ระยะจมตัวของเสาเข็ม (วัดจากเครื่องหมายบนเสาเข็ม)
      • ระยะที่ส่งเสาเข็มลงไป (วัดจากเครื่องหมายบนตะเกียบปั้นจั่น)

หมายเหตุ:

  • บันทึกข้อมูลทั้งหมดลงในตารางที่เตรียมไว้

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2568

รายการคำนวณการตอกเสาเข็มโดยใช้สูตร Blow Count by Heiley

        สูตร Heiley เป็นหนึ่งในสูตรที่นิยมใช้ในการคำนวณกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็มตอก สูตรนี้พัฒนามาจากงานวิจัยของ Heiley (1957) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนครั้งที่ตอก (Blow Count) น้ำหนักตุ้ม ระยะยก ขนาดหน้าตัดของเสาเข็ม และความยาวเสาเข็ม

รายละเอียดของสูตรมีดังนี้:

สมการ:

R = (2W * H) / (S + (A / F))

ตัวแปร:

  • R: กำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม (ตัน)
  • W: น้ำหนักตุ้ม (ตัน)
  • H: ระยะยกตุ้ม (เมตร)
  • S: Set หรือ ระยะจมของเสาเข็มต่อการตอก 1 ครั้ง (เซนติเมตร)
  • A: พื้นที่หน้าตัดของเสาเข็ม (ตารางเซนติเมตร)
  • F: ค่าความต้านทานแรงเสียดทานด้านข้างของเสาเข็ม (ตัน/ตารางเมตร)

ค่าคงที่:

  • g: แรงโน้มถ่วง (9.81 ม./วินาที^2)

ขั้นตอนการคำนวณ:

  1. รวบรวมข้อมูลที่จำเป็น เช่น น้ำหนักตุ้ม ระยะยกตุ้ม ขนาดหน้าตัดของเสาเข็ม ความยาวเสาเข็ม จำนวนครั้งที่ตอก (Blow Count) และค่า Set หรือ ระยะจมของเสาเข็มต่อการตอก 1 ครั้ง
  2. หาค่าเฉลี่ยของจำนวนครั้งที่ตอก (Blow Count) และค่า Set หรือ ระยะจมของเสาเข็มต่อการตอก 1 ครั้ง
  3. หาค่า F ค่าความต้านทานแรงเสียดทานด้านข้างของเสาเข็ม โดยใช้สูตรที่เหมาะสมกับประเภทของดิน
  4. คำนวณค่า R กำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม โดยใช้สมการ Heiley
  5. เปรียบเทียบค่า R กำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม ที่คำนวณได้กับค่ากำลังรับน้ำหนักที่ต้องการ หากค่าที่คำนวณได้น้อยกว่าค่าที่ต้องการ จะต้องตอกเสาเข็มเพิ่มเติมจนกว่าจะได้ค่า R ที่มากกว่าหรือเท่ากับค่าที่ต้องการ

ตัวอย่าง:

สมมติว่ามีเสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กขนาด 0.40 x 0.40 เมตร ตอกด้วยค้อนไฮดรอลิก น้ำหนักตุ้ม 5 ตัน ระยะยกตุ้ม 2 เมตร ดินเป็นดินเหนียว ตอกเสาเข็มจนถึงความยาว 10 เมตร จำนวนครั้งที่ตอก (Blow Count) เฉลี่ย 30 ครั้ง ค่า Set หรือ ระยะจมของเสาเข็มต่อการตอก 1 ครั้ง เฉลี่ย 2.5 เซนติเมตร

การคำนวณ:

  1. หาค่า F ค่าความต้านทานแรงเสียดทานด้านข้างของเสาเข็ม จากตารางค่า F สำหรับดินเหนียว ได้ F = 20 ตัน/ตารางเมตร
  2. หาค่า A พื้นที่หน้าตัดของเสาเข็ม จากสูตร A = (d^2) * π/4 ได้ A = (0.4^2) * π/4 = 0.1256 ตารางเมตร
  3. คำนวณค่า R กำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม จากสมการ Heiley ได้

R = (2 * 5 * 2) / (2.5 + (0.1256 / 20))
R = 20 / (2.5 + 0.0063)
R = 20 / 2.5063
R ≈ 7.98 ตัน

4. เปรียบเทียบค่า R กำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม ที่คำนวณได้กับค่ากำลังรับน้ำหนักที่ต้องการ

สมมติว่าค่ากำลังรับน้ำหนักที่ต้องการของเสาเข็มในตัวอย่างนี้คือ 10 ตัน

จากการเปรียบเทียบพบว่าค่า R กำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม ที่คำนวณได้ (7.98 ตัน) น้อยกว่าค่ากำลังรับน้ำหนักที่ต้องการ (10 ตัน) ดังนั้น จะต้องตอกเสาเข็มเพิ่มเติมจนกว่าจะได้ค่า R ที่มากกว่าหรือเท่ากับค่าที่ต้องการ

5. ตอกเสาเข็มเพิ่มเติม

ทำการตอกเสาเข็มเพิ่มเติมจนกว่าค่า Set หรือ ระยะจมของเสาเข็มต่อการตอก 1 ครั้ง จะน้อยกว่าหรือเท่ากับค่าที่กำหนดไว้ ซึ่งในทางปฏิบัติมักจะใช้ค่า Set เฉลี่ยจากการตอก 10 ครั้งสุดท้าย โดยทั่วไปแล้ว ค่า Set ที่ยอมรับได้จะอยู่ระหว่าง 1-3 เซนติเมตร

ตัวอย่างการตอกเสาเข็มเพิ่มเติม

สมมติว่าหลังจากตอกเสาเข็มเพิ่มเติมอีก 5 เมตร จำนวนครั้งที่ตอก (Blow Count) เฉลี่ย 30 ครั้ง ค่า Set หรือ ระยะจมของเสาเข็มต่อการตอก 1 ครั้ง เฉลี่ย 1.5 เซนติเมตร

การคำนวณ:

  1. หาค่า F ค่าความต้านทานแรงเสียดทานด้านข้างของเสาเข็ม จากตารางค่า F สำหรับดินเหนียว ได้ F = 20 ตัน/ตารางเมตร
  2. หาค่า A พื้นที่หน้าตัดของเสาเข็ม จากสูตร A = (d^2) * π/4 ได้ A = (0.4^2) * π/4 = 0.1256 ตารางเมตร
  3. คำนวณค่า R กำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม จากสมการ Heiley ได้
R = (2 * 5 * 2) / (1.5 + (0.1256 / 20))
R = 20 / (1.5 + 0.0063)
R = 20 / 1.5063
R ≈ 13.27 ตัน
  1. เปรียบเทียบค่า R กำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม ที่คำนวณได้กับค่ากำลังรับน้ำหนักที่ต้องการ ซึ่งในตัวอย่างนี้คือ 10 ตัน

จากการเปรียบเทียบพบว่าค่า R กำลังรับน้ำหนักของเสาเข็ม ที่คำนวณได้ (13.27 ตัน) มากกว่าค่ากำลังรับน้ำหนักที่ต้องการ (10 ตัน) ดังนั้น เสาเข็มที่ตอกเพิ่มเติมมีความปลอดภัยเพียงพอ

หมายเหตุ:

  • ตัวอย่างนี้เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ การคำนวณจริงจะต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เพิ่มเติม เช่น ชนิดของเสาเข็ม ลักษณะดิน สภาพการตอก ฯลฯ
  • ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโยธา เพื่อออกแบบและคำนวณการตอกเสาเข็มให้ถูกต้องและปลอดภัย

สรุป

สูตร Heiley เป็นหนึ่งในสูตรที่นิยมใช้ในการคำนวณกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็มตอก สูตรนี้มีความเรียบง่าย ใช้งานง่าย และมีประสิทธิภาพ แต่สูตรนี้ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยบางประการ เช่น แรงเสียดทานด้านข้างของเสาเข็ม ผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือน ฯลฯ ดังนั้น ควรใช้สูตรนี้ควบคู่กับวิธีการอื่นๆ เพื่อประเมินกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็มอย่างถูกต้องและแม่นยำ